รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ยังช่วยลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยโลกร้อนอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่า ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และอุปกรณ์ แต่จะมีแบบไหนบ้าง และแต่ละแบบเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย
EV Charger มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร ?
โดยหลัก ๆ แล้ว ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามมาตรฐาน IEC-62196 ของ มอก. ซึ่งเป็นข้อกำหนดทั่วไปเพื่อความปลอดภัยของระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ดังต่อไปนี้
MODE 1 : สาย AC TO DC Cable ตรงกับไฟบ้าน
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ผ่านปลั๊กไฟมาตรฐานตามที่พักอาศัยทั่วไปโดยตรงได้ เป็นสายชาร์จรถไฟฟ้าแบบธรรมดาที่ไม่มีระบบป้องกันภัย สามารถส่งกระแสไฟได้สูงสุดที่ 11 A ในระบบไฟ 3 Phase ส่วนในระบบไฟ 1 Phase สามารถส่งกระแสไฟได้ 3.7 A ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่นานกว่า
ดังนั้น หากต้องการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่ขนาด 33.5kW สำหรับการชาร์จที่ 3.7 A อาจจะต้องใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงถึงจะเต็ม นอกจากนี้การดึงกำลังไฟสูงจากเครื่องชาร์จจะทำให้สายไฟสะสมความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากใช้ไฟเกินหรือชาร์จต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ได้
MODE 2 : สาย AC TO DC Cable ไม่มี Protection Device
ระบบชาร์จไฟรถยนต์ที่มีวงจรเฉพาะในการชาร์จรถ EV แต่ไม่มีระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน การชาร์จในโหมดนี้ปริมาณกระแสสูงสุดที่ระบบสามารถจ่ายได้เป็น 32A
หากเป็น 1 Phase ได้พลังงาน 7.4 kW และ 22 kWh สำหรับ 3 Phase จะใช้เวลาชาร์จเพียงครึ่งหนึ่งของโหมด 1 เท่านั้น ซึ่งสายชาร์จรถไฟฟ้าที่แถมมากับตัวรถยนต์ไฟฟ้ามักจะเป็นการชาร์จประเภทนี้
ระบบชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าระบบนี้ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการเสียบทิ้งไว้ทั้งคืนเพราะไม่มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม จึงควรใช้ในยามจำเป็นหรือระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่มีเจ้าของรถจำนวนมากที่เสียบค้างไว้ทั้งคืน ทำให้ไฟไหลเข้าตลอดเวลา จึงเสี่ยงทำให้แบตเตอรี่รถเสื่อมเร็วกว่าที่ควร
MODE 3 : Fixed, Dedicated Circuit-Socket
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับการชาร์จรถ EV ผ่านตัว EV Charger ที่บ้าน ซึ่งตัวรถจะเชื่อมต่อเครือข่ายไฟฟ้าโดยตรงผ่านปลั๊กและเต้ารับแบบพิเศษของตัวเครื่องชาร์จ มีวงจรเฉพาะที่สามารถชาร์จได้ที่ 3.7 – 22 kW มีการติดตั้งระบบป้องกันภัย เช่น ป้องกันอุณหภูมิเกิน มีระบบสายดิน มีระบบป้องกันโหลดเกินขณะชาร์จ สามารถเพิ่มอุปกรณ์กันไฟรั่วและกันไฟกระชากเพื่อความปลอดภัย
MODE 4 : DC Connection
EV Charger ทั้ง 3 ประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นการต่อตรงกับแหล่งจ่ายไฟบ้านหรืออาคาร แตกต่างจากระบบของประเภทที่ 4 ที่จะรับไฟจากสถานีชาร์จที่แปลงไฟกระแสสลับไปเป็นไฟกระแสตรง แล้วจ่ายไฟกระแสตรงเข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ไม่ต้องผ่าน On Board Charger ซึ่งสามารถชาร์จได้ถึง 50kW หรือที่เรียกกันว่า Fast Charge
สถานีชาร์จประเภทนี้จะมีค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนและความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าสูง เราจะสามารถพบเครื่องชาร์จประเภทนี้ได้ตามสถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า หรือจุดพักรถ เหมาะสำหรับการชาร์จไฟระหว่างการเดินทาง
การชาร์จไฟ AC กับ DC แตกต่างกันอย่างไร
สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเรื่องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า อาจจะได้ยินคำว่า AC กับ DC บ่อย แต่ยังไม่รู้ว่าทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้ระบบชาร์จไฟแบบไหนดี ถึงจะตรงกับความต้องการ
AC หรือไฟฟ้ากระแสสลับ
การชาร์จแบบ AC Charger หรือกระแสสลับ คือ ระบบชาร์จไฟรถยนต์ที่รับไฟฟ้าจากตัว Wallbox เข้าสู่ On Board Charger แล้วค่อยแปลงเป็นกระแสตรง ใช้เวลาชาร์จประมาณ 4 – 16 ชั่วโมง เป็นระบบชาร์จที่เหมาะสำหรับการติดตั้งในที่พักอาศัย บ้าน สามารถชาร์จทิ้งเอาไว้ข้ามคืน โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม สามารถเสียบสายชาร์จรถยนต์เข้ากับที่ชาร์จไฟได้เลย
ข้อจำกัดของระบบชาร์จไฟรถยนต์แบบกระแสสลับคือ ใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน เพราะมีกำลังชาร์จเฉลี่ยอยู่ที่ 3 -22 kW เท่านั้น จึงไม่เหมาะกับเวลาที่เร่งรีบจะออกเดินทาง
DC หรือไฟฟ้ากระแสตรง
การชาร์จแบบ DC Charger หรือกระแสตรง โดยสามารถนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ได้เลย ชาร์จได้เร็วกว่า ใช้เวลาชาร์จประมาณ 30 นาที – 2 ชั่วโมง เป็นระบบชาร์จตามสถานีชาร์จนอกที่พักอาศัย อย่างตามที่สาธารณะ สถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และจุดพักรถ เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไกลข้ามจังหวัด หรือต้องการชาร์จไฟอย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของการชาร์จแบบกระแสตรงคือ เครื่องมีราคาค่อนข้างสูง มีค่าบริการค่อนข้างแพง ที่สำคัญคือ อาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ หากว่าใช้เป็นประจำ
เลือกติดตั้งระบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหนดี ?
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสับสนว่าจะติดตั้งระบบชาร์จไฟรถยนต์แบบไหนดี ที่จริงแล้วไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
หากต้องการใช้งานภายในบ้านแนะนำระบบไฟฟ้ากระแสสลับ แต่หากว่าเป็นการติดตั้งเพื่อให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ต่าง ๆ ให้ใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจะดีกว่า หรือหากว่าไม่แน่ใจ แนะนำให้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ โดยบอกความต้องการในการใช้งาน สถานที่ที่ต้องการติดตั้ง และรายละเอียดอื่น ๆ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม
ต้องการติดตั้งระบบชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า สามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่ของพิธานกรีนได้เลย เรามีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกหลากหลาย ครบทุกความต้องการ มีบริการออกแบบและติดตั้งที่บ้าน คอนโด และธุรกิจร้านค้า ไม่ว่าจะใช้งานภายในที่พักอาศัย หรือในเชิงธุรกิจ ผลิตภัณฑ์เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย สามารถชาร์จไฟได้โดยไม่เกิดปัญหา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทันทีที่เว็บไซต์ https://phithangreen.com/th/
ข้อมูลอ้างอิง
- Home Guru. EV Charger ชุดอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2564 จาก https://homeguru.homepro.co.th/ev-charger-electric-car-charger-kit/
- SPAGGIARI. Charging Station : The Future is coming (1). สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2564 จาก https://playelek.com/charging-station1/
